Digital ID มีไว้เพื่ออะไร
Google ประเทศไทยได้สรุปยอดคำค้นหาประจำปี 2024 นี้ หนึ่งในนั้นมีคำว่า Digital ID ซึ่งเป็นระบบยืนยันตัวตนในรูปแบบดิจิทัล วันนี้เรามาทำความรู้จัก Digital ID กันครับ
Digital ID คืออะไร
Digital ID หรือ Digital Identity คือ ระบบพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล โดยมีการใช้งานเทคโนโลยีที่มีความปลอดภัยสูง และสามารถระบุและยืนยันตัวตนของบุคคลได้อย่างแม่นยำ
ข้อดีของการนำ Digital ID เข้ามาใช้
1. ความสะดวกและประสิทธิภาพ
- ช่วยลดเวลาในการยืนยันตัวตนหรือทำธุรกรรม เช่น การเปิดบัญชีธนาคาร การสมัครบริการ หรือการรับสวัสดิการจากรัฐบาล
- ไม่ต้องพกเอกสารทางกายภาพ เช่น บัตรประชาชนหรือเอกสารอื่น ๆ
2. ความปลอดภัยที่สูงขึ้น
- ลดความเสี่ยงจากการปลอมแปลงเอกสาร
- การยืนยันตัวตนแบบดิจิทัลมักมีระบบความปลอดภัย เช่น การยืนยันผ่านลายนิ้วมือ การสแกนใบหน้า หรือรหัส OTP
3. การเข้าถึงบริการที่ง่ายขึ้น
- ผู้ที่อาศัยในพื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงบริการของรัฐบาลและเอกชนได้ง่ายขึ้นผ่านระบบออนไลน์
- ช่วยเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจและการศึกษา
4. การสนับสนุนเศรษฐกิจดิจิทัล
- ช่วยส่งเสริมการทำธุรกรรมออนไลน์ เช่น อีคอมเมิร์ซ และฟินเทค
- ลดต้นทุนในการทำธุรกรรม เช่น ค่าเดินทางหรือค่าธรรมเนียม
5. การบริหารจัดการข้อมูลของรัฐบาลและองค์กรต่าง ๆ
- ช่วยให้รัฐบาลและองค์กรสามารถรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลประชาชนได้อย่างแม่นยำ
- สนับสนุนการออกแบบนโยบายที่ตรงจุดมากขึ้น
6. ส่งเสริมการรวมกลุ่มทางการเงิน (Financial Inclusion)
- คนที่ไม่มีบัญชีธนาคารหรือเอกสารทางการสามารถเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้ง่ายขึ้นด้วย Digital ID
7. ลดการทุจริตและเพิ่มความโปร่งใส
- ระบบดิจิทัลช่วยลดโอกาสในการทุจริต เช่น การรับสวัสดิการซ้ำซ้อน หรือการแอบอ้างสิทธิ์
8. เป็นรากฐานสำหรับบริการในอนาคต
- รองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น ระบบ AI, Blockchain และ Internet of Things (IoT)
- ช่วยสร้างระบบนิเวศดิจิทัลที่ยั่งยืน
Digital ID จึงเป็นอีกเครื่องมือสำคัญที่ช่วยผลักดันการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจในยุคดิจิทัลได้
ตัวอย่างประเทศที่นำ Digital ID มาใช้
1. เอสโตเนีย
เอสโตเนียคือประเทศแรก ๆ ที่มีการนำ Digital ID มาใช้ ซึ่งแม้จะมีประชากรไม่มาก แต่กลับมีศักยภาพด้านเทคโนโลยีเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก โดยในระบบและการดำเนินงานของภาครัฐและประชาชนจะใช้ระบบดิจิทัลทั้งหมด ประชาชนทุกคนในประเทศเอสโตเนียจะมี ID Card เป็นของตัวเองสำหรับการทำธุรกรรมต่าง ๆ ในประเทศ
ปัจจุบันชาวเอสโตเนีย มีจำนวนการลงนามในเอกสารดิจิทัลไปแล้วกว่าหนึ่งพันล้านฉบับ การนำ Digital ID มาใช้จึงช่วยลดเวลาการทำธุรกรรมทั้งกับภาครัฐและเอกชนได้ถึง 5 วันต่อปี
2.สิงคโปร์
สิงคโปร์ มีระบบการระบุตัวตนทางดิจิทัลแห่งชาติ (NDI) ช่วยให้สามารถโต้ตอบทางออนไลน์ได้อย่างปลอดภัยและสะดวกสบาย ระบบดังกล่าวเปิดตัวเมื่อปี 2003 และสร้างบนแอปพลิเคชันยืนยันตัวตนของสิงคโปร์ Singpass โดยเชื่อมโยงหน่วยงานของรัฐและธุรกิจเอกชนมากกว่า 700 แห่ง เข้าด้วยกัน การรวมเครือข่ายนี้ช่วยลดขั้นตอนที่ยุ่งยาก เพิ่มความรวดเร็วของกระบวนการทำงาน
Digital ID ของสิงคโปร์ สามารถใช้ลงนามบนเอกสาร รับการแจ้งเตือนที่สำคัญ และจัดการการวางแผนทางการเงินออนไลน์ได้
สำหรับการแชร์ข้อมูล สิงคโปร์มีระบบ MyInfo ช่วยให้หน่วยงานต่าง ๆ สามารถแชร์ข้อมูลผู้ใช้ได้อย่างปลอดภัย ลดการกรอกแบบฟอร์มซ้ำ ๆ มีตัวเลือกต่าง ๆ เช่น การจดจำใบหน้า บัตรประจำตัวดิจิทัล และรหัส QR ช่วยยืนยันตัวตนของผู้ใช้ได้อย่างรวดเร็ว ปัจจุบันชาวสิงคโปร์ประมาณ 97% ใช้ Singpass อย่างจริงจัง แสดงให้เห็นถึงความไว้วางใจจากสาธารณชนที่แข็งแกร่ง
3. ไนจีเรีย
ไนจีเรีย คือ ตัวอย่างของประเทศในแอฟริกาที่ปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัล โดยเริ่มมีการพัฒนาใช้ระบบ Digital ID ตั้งแต่ปี 2014 โดยมีองค์ประกอบสำหรับการพัฒนาอยู่ 2 สิ่ง คือ
- หมายเลขประจำตัวประชาชน (NIN) ซึ่งจำเป็นสำหรับการทำธุรกรรมอย่างเป็นทางการ
- หมายเลขยืนยันตัวตนธนาคาร (BVN) เพิ่มชั้นความปลอดภัยสำหรับลูกค้าธนาคารอีกขั้น
ปัจจุบันมีชาวไนจีเรียประมาณ 100 ล้านคน ที่มี NIN และ 58 ล้านคนที่มี BVN
แม้ว่าระบบนี้จะเผชิญกับความท้าทายในด้านเงินทุนและการดำเนินงาน แต่ยังคงมีความพยายามในการปรับปรุงการเข้าถึงและสร้างความไว้วางใจให้กับประชาชน เพื่อดึงดูดประชาชนในประเทศให้เข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลมากขึ้น
นอกจากนี้ยังมีประเทศอื่น ๆในยุโรป เช่น เดนมาร์ก สวีเดน เบลเยี่ยม และเนเธอแลนด์ ซึ่งมีการใช้เทคโนโลยี Digital ID เช่นกัน
ที่มา : Beyond Encryption
สอบถามข้อมูลผลิตภัณฑ์ “OneFence”
Tel. : 061-462-6414, 02-103-6462
Line : @securitypitch
Email : [email protected]
บทความที่น่าสนใจ